วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ชื่อนางสาวพนิตนันท์ ทิพย์รัตน์ รหัส 5310122108007

เรื่อง ขอบข่ายและการพัฒนาการบริหารการจัดการ ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารการจัดการ
   ที่มา www.classroom.hu.ac.th

  แนวความคิด (concepts) หมายถึง การสรุปและจัดระเบียบเรื่องราวจากรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อวางเป็นหลักการ  การมีแนวความคิดเป็นสิ่งยึดถืออยู่ตลอดเวลานับว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญยิ่ง เพื่อที่จะได้มีการพัฒนาต่อไปอีกให้เป็นหลักและทฤษฎี (principles & theory) ได้ในที่สุด
ทฤษฎี (theory) หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นมาจากการรวบรวมแนวความคิดและหลักการต่าง ๆ ให้เป็นกลุ่มก้อน
ทฤษฎีการบริหาร หมายถึง การพยายามสรุปความและจัดระเบียบเรื่องราวต่าง ๆ ทางการบริหาร ที่เป็นทั้งแนวความคิดและหลักการต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบนั่นเอง
            แนวความคิดทางการบริหาร (Management Concepts)
จากการที่ได้มีการศึกษาประวัติความเป็นของการบริหารในบทที่ 1  จะเห็นได้ว่ามีแนวความคิดที่มีเนื้อหาสาระสำคัญที่สุด 2 แนวความคิดด้วยกัน ที่จะได้มีการเปรียบเทียบกันถึงความแตกต่าง  ได้แก่
แนวความคิดการบริหารที่มีหลักเกณฑ์  (scientific management)
แนวความคิดทางการบริหารแบบมนุษยสัมพันธ์ (human relations)
          การบริหารที่มีหลักเกณฑ์ (scientific management)
กำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม โดย  Frederick  W.  Taylor  และ  Henri Fayol  บุคคลทั้งสองได้วางรากฐานของความรู้ที่สำคัญและทฤษฎีการบริหารที่ถูกต้องขึ้นเป็นครั้งแรก
          1. Frederick  W.  Taylor  ถือได้ว่าเป็นบิดาแห่งการบริหารที่มีหลักเกณฑ์  จากการศึกษาวิธีการปฏิบัติทางการผลิตในระดับโรงงานเป็นครั้งแรกนั้น Taylor ได้ประกาศใช้หลักการต่าง ๆ สำหรับการปฏิบัติงานหรือที่เรียกว่า “การบริหารที่มีเกณฑ์  (scientific management) “
แนวความคิดของ Taylor :  เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการทำงานของผู้บริหารในสมัยนั้นที่มีการทำงานอย่างไม่มีหลักเกณฑ์  และไม่เห็นด้วยกับการทำงานของคนงานที่ทำหน้าที่ของตนอย่างไม่มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกัน
Taylor เชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่จะกำหนดปริมาณงานที่แต่ละคนทำได้ในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่มีการบีบคั้นต่อตัวผู้ทำงานนั้น และการศึกษาดังกล่าวจะเป็นไปได้โดยถูกต้องและมีหลักเกณฑ์มากที่สุด  ซึ่งจะช่วยป้องกันข้อโต้แย้งต่าง ๆ ได้ โดยที่ทั้งสองผ่ายต่างก็ได้รับประโยชน์สูงสุด นั่นคือ คนงานจะได้ประโยชน์จากการทำงานให้ครบตามปริมาณ ไม่มีปัญหาเรื่องการดึงงานให้ช้าลง  ส่วนฝ่ายบริหารก็จะได้รับประโยชน์จากการได้รับผลผลิตเพิ่ม และก็จะยอมจ่ายค่าแรงสูงขึ้นอีก   ในการที่จะทำให้ได้รับผลดังกล่าว Taylor ได้ใช้วิธีการ time and motion study ดังนี้

(1) ทำการศึกษาเวลาที่ใช้ไปในการทำงานชิ้นหนึ่ง ๆ ด้วยวิธีการจับเวลา (time)
(2) ทำการศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในการทำงาน (motion) เพื่อจะปรับปรุงวิธีการทำงาน
สาระสำคัญของการศึกษาตามแนวความคิดนี้ก็คือ
“ การเปลี่ยนจากความไม่มีประสิทธิภาพ  อันสืบเนื่องมาจากวิธีปฏิบัติแบบไม่มีหลักเกณฑ์ (rule-of-thomb methods)  มาเป็นความมีประสิทธิภาพ  โดยมีวิธีการบริหารที่มีหลักเกณฑ์ (scientific methods) ที่กำหนดขึ้น  โดยตัวผู้บริหารตามความรับผิดชอบที่ควรจะต้องมีมากขึ้นกว่าเดิม “
2. Henri Fayol  ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้น  โดยอาศัยประสบการณ์ที่ได้จากการเป็นนักบริหารมาเป็นเวลานาน และรวบรวมเขียนขึ้นเป็นหลัก (principles)  แต่หลักของ Fayol ดังกล่าวก็มีความถูกต้องอย่างยิ่ง จนถือได้ว่าเป็นทฤษฎี (theory) ของการบริหาร
ก. การบริหารแบบมนุษยสัมพันธ์ (Human  Relations)
        หลังจากที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสหรัฐฯ  ซึ่งทำให้อัตราการว่างงานมีมากกว่า 25% นั้น  สหภาพแรงงานได้เรียกร้องผลประโยชน์ให้แก่ชนชั้นผู้ใช้แรงงาน  นับได้ว่าเป็นยุคทองของสหภาพและกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิในการรวมตัวทางแรงงานและผลประโยชน์ของคนงาน   โดยเฉพาะจากโครงการศึกษาที่โรงงาน ”Hawthorne”  ของ George Elton Mayo  และ  Fritz  Rothisberger  ซึ่งได้มีการกระทำเป็นครั้ง ๆ อย่างต่อเนื่องยาวนานและปรากฏเป็นผลดังนี้
แนวความคิดที่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากการค้นพบ 2 ประการคือ
1. พฤติกรรมของคนงานมีการปฏิบัติตอบต่อสภาพแวดล้อมทั้ง 2 ทางด้วยกันคือ ต่อสภาพทางกายภาพที่สภาพแวดล้อมรอบตัว (physical environment)  ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมของงาน  และยังมีการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของเรื่องราวทาง จิตวิทยา และสังคมของที่ทำงาน ด้วย
2. จากความเข้าใจที่ว่า  คนจะมีพฤติกรรมที่เป็นไปตามเหตุผลเท่านั้น  ซึ่งข้อเท็จจริงไม่เป็นเช่นนั้นคือ คนจะมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเหตุผล นั่นก็คือ มีอารมณ์  มีความนึกคิด  ชอบพอ  ตลอดจนความพอใจอื่นๆ ของตน  รวมทั้งความอบอุ่นใจและความสนุกสนานในการทำงานด้วย
จากการค้นพบของ Mayo ดังกล่าว สรุปได้ว่า
1. พฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้นั้น  จะไม่เป็นเหตุผลที่เกิดจากการตอบแทนด้วยเงินแต่เพียงอย่างเดียว  แต่มีความต้องการทางจิตใจที่ต้องการตอบสนองอยู่ด้วย
2. กลไกของคนไม่สามารถเทียบให้เป็นหน่วยมาตรฐานเหมือนกับเครื่องจักรหรือวัตถุดิบได้  แต่คนเป็นสิ่งที่มีชีวิตจิตใจที่เมื่อทำงานไประยะหนึ่งก็ต้องการพักผ่อนควบคู่กับความต้องการที่จะได้เงินมาตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายในเรื่องอาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ยารักษาโรค  และอื่น ๆ
3. จากข้อ 1 และ 2  เพื่อที่จะให้คนงานได้รับความพอใจ  มีขวัญสูง  และเพื่อให้มีความเต็มใจในการทำงานให้ได้ผลผลิตสูง  นักพฤติกรรมศาสตร์จึงต่างพยายามสนใจศึกษาเรื่องราวของการจูงใจพนักงาน (employee motivation) เป็นทรรศนะแรก  และสนใจศึกษาเรื่องราวของบทบาทในหน้าที่งาน (role) และฐานะ (status)  สัญลักษณ์ที่แสดงถึงฐานะต่าง ๆ (status symbols) และลักษณะความเป็นไปของกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ (informal groups) ที่มีผลกระทบต่อองค์การ  ในทรรศนะที่กว้างกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น