วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปณิธาณ แก้วใหญ่

ในทางสังคมศาสตร์ เป็นธรรมดาที่การแสดงแนวคิดหรือการให้ความหมายของคำใดคำหนึ่ง ย่อมหลากหลายและแตกต่างกันเป็นส่วนใหญ่  ไม่ว่าผู้แสดงแนวคิดหรือผู้ให้ความหมายมีประสบการณ์หรือมีพื้นฐานการศึกษาในสาขาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม  การให้แนวคิดและความหมายของการบริหารการพัฒนาก็มีลักษณะเช่นว่านี้เหมือนกัน  คำว่า  การบริหารการพัฒนา  นั้น  เขียนเป็นภาษา อังกฤษได้ว่า development administration หรือ administration of development แต่ในที่นี้ยึดถือคำแรก และเนื่องจากเป็นการให้ความหมายของคำในทางสังคมศาสตร์ จึงควรทำความเข้าใจเรื่องการให้ความหมายของคำหรือถ้อยคำในทางสังคมศาสตร์ก่อน กล่าวคือ
“ศาสตร์” มาจากคำว่า “science” ซึ่งมิใช่หมายความว่า “วิทยาศาสตร์” เท่านั้น แต่ยังหมายถึง วิชาความรู้ หรือความรู้ที่เป็นระบบที่มีรากฐานมาจากการสังเกต ศึกษา ค้นคว้า และทดลอง ตรงกันข้ามกับ สัญชาติญาณ หรือการรู้โดยความรู้สึกนึกคิด หรือการรู้โดยความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองในใจ (intuition) คำว่า ศาสตร์ นั้น แบ่งเป็น 2 แขนงใหญ่ ๆ (branch) คือ สังคมศาสตร์ (social science) และศาสตร์ธรรมชาติ (natural science)
ในทางสังคมศาสตร์ ซึ่งหมายถึง ความรู้ที่เป็นระบบที่เกี่ยวกับสังคม ครอบคลุมศาสตร์ (science) ด้านศาสนา การศึกษา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ เป็นต้น ศาสตร์เหล่านี้ไม่เป็นสูตรสำเร็จที่ใช้ได้ทุกหนทุกแห่ง และไม่อาจเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ง่าย เหตุผลสืบเนื่องมาจากการเป็นวิชาความรู้ที่มีลักษณะไม่ตายตัว เกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิด การคาดการณ์ คาดคะเน หรือการคาดว่าจะเป็น อีกทั้งอคติของผู้ให้ความหมายความสามารถเข้าไปสอดแทรกอยู่ในความ หมายที่ให้ รวมทั้งไม่อาจสัมผัสพิสูจน์และตรวจสอบได้ง่าย  นอกจากนี้ ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์เป็นจำนวนมากมีลักษณะที่เรียกว่า ทฤษฎีปทัสถาน (normative theories)  ดังเช่น  ทฤษฎีเทวสิทธิ์ทฤษฎีพฤติกรรมศาสตร์ ตลอดจนทฤษฎีหรือแนวคิดประชาธิปไตย หรือแนวคิดการแบ่งแยกการใช้อำนาจ เป็นต้น ลักษณะของศาสตร์ทางสังคมศาสตร์แขนง (branch) นี้ ค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง คือ ศาสตร์ธรรมชาติ (natural science) ซึ่งหมายถึง ความรู้ที่เป็นระบบเกี่ยวกับธรรมชาติและโลกทางวัตถุที่ชัดเจนและจับต้องได้ เช่น เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ พฤกษศาสตร์ และธรณีวิทยา ที่มีลักษณะแน่นอน ตายตัว สัมผัสได้ เป็นระบบ ทดสอบและพิสูจน์ได้ง่ายกว่าศาสตร์แขนงแรก รวมทั้งอคติของผู้เกี่ยวข้องเข้าไปสอดแทรกได้ยาก ศาสตร์ธรรมชาตินี้สอดคล้องกับแนวคิดของทฤษฎีที่แน่นอนชัดเจน (positive theories) ดังเช่น ทฤษฎีเส้นตรงทางเรขาคณิต และทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ เป็นต้น
กล่าวโดยย่อ การให้ความหมายของคำในทางสังคมศาสตร์นั้นไม่อาจให้ความหมายได้อย่างแน่นอน ตายตัว จนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ง่าย  เหตุผลสำคัญสืบเนื่องจากธรรมชาติของลักษณะวิชา  ซึ่งแตกต่างจากศาสตร์ธรรมชาติดังกล่าว รวมทั้งขึ้นอยู่กับความรู้ ความคิด และประสบการณ์ของผู้ให้ความหมายแต่ละคน  ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงหรือไม่ควรมาเสียเวลาถกเถียงกันในเรื่องการให้ความหมายของคำแต่ละคำว่าความหมายของใครถูกหรือผิด
ความสำคัญของการบริหารการพัฒนา
ความสำคัญของการบริหารการพัฒนานั้น ไม่เพียง (1) เป็นวิธีการหรือแนวทางหนึ่งของการบริหารภาครัฐซึ่งหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนำมาใช้เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและให้บริการประชาชนเท่านั้น  แต่การบริหารการพัฒนายังมีความสำคัญในลักษณะที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิ ภาพ ในการบริหารราชการแผ่นดินให้ (2) เป็นระบบ (3) เป็นวิชาการ (4) มีทิศทางที่ชัดเจน (5) มีความครอบคลุมครบถ้วนทั้งการบริหาร เพื่อการพัฒนาและการพัฒนาการบริหารเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม ตลอดทั้ง (6) ช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติราชการอีกด้วย ความสำคัญดังกล่าวนี้ (เหตุ) จะมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินของหน่วยงานของรัฐ และ/หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ (ผล) และในที่สุด จะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของประเทศและช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน (ผลกระทบ) หรือ อาจกล่าวได้ว่า การบริหารการพัฒนา เป็น มรรควิธี ที่นำไปสู่ จุดหมายปลายทาง
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว การบริหารการพัฒนายังคำนึงถึงสภาพแวดล้อมด้วย เช่น สภาพ
แวดล้อมด้านเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนการเมืองการปกครองและการบริหารภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งหากพิจารณาในภาพรวมทั้งระบบ จะเห็นได้ว่า การบริหารการพัฒนาเป็นระบบย่อยหรือเป็นส่วนย่อยของระบบใหญ่ ซึ่งครอบคลุมสภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนการเมืองการปกครองและการบริหารทั้งภายในและภายนอกประเทศ  โดยทั้งระบบย่อยและระบบใหญ่ล้วนมีความสัมพันธ์กันและส่งผลต่อกัน พร้อมกับปรับตัวเพื่อความสมดุล (equilibrium) และเพื่อให้อยู่รอด
อ้างอิง : วิรัช วิรัชนิภาวรรณ. ม.ป.ป. แนวคิด ความหมาย และความสำคัญของการบริหารการพัฒนา. [Online]. Available. URL : http://www.wiruch.com/articles%20for%20article/article% 20dev%20admin.htm


นางสาวธารารัตน์ บุดดารัมย์ รหัส : 5510122115021

ที่มา  :  http://www.mcucr.com/home/includes/editor/assets/cassroom_cheet1.pdf - หน้า 1-2

ทฤษฎี แนวคิดการบริหารจัดการ
แนวคิดทางการบริหารการจัดการ
ในอดีตที่ผ่านมาระบบการจัดการของการผลิต และกิจกรรมต่าง ๆ ก็ดี ทางเศรษฐกิจ ทางการตลาด มิได้มีความสลับซับซ้อนมากนัก และไม่ต้องอาศัยระบบของการจัดการเช่นในปัจจุบันนี้ กระทั่งเมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในโลก (ประมาณ ปี ค.ศ 1880 เป็นต้นมา) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก อันมีผลทำให้
เศรษฐกิจ สังคม การเมือง มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ตลอดจนมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่าง
รวดเร็ว และแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเริ่มเป็นที่ยอมรับและขยายตัวมากขึ้น มีการพัฒนามากขึ้นเป็นลำดับ

ขอบเขต และความหมายของการบริหารการจัดการ
บริบทที่สำคัญประการหนึ่งของนักบริหาร คือการจัดการ หรือการบริหารองค์การ ให้สามารถอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง โดยรวบรวมเอากลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อความสำเร็จในเป้าหมาย โดยคำนึงถึงความมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความประหยัด

ความหมายขององค์การ
Chester I. Barnard  กล่าวว่า องค์การ  คือ ระบบที่บุคคลสองคนหรือมากกว่าร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างมีจิตสำนึก
Herbert G. Hicks  กล่าวว่า องค์การ  คือ กระบวนการจัดโครงสร้างให้บุคคลเกิดปฏิสัมพันธ์ ในการททำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
องค์การคือ กลุ่มบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป รวมกันขึ้นเพื่อที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยที่บุคคลคนเดียวไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จได้โดยลำพัง ซึ่งเราจะพบว่าองค์การจะเกิดขึ้นและมีอยู่ใน
สังคมมนุษย์ทุกหนทุกแห่ง และองค์การก็เป็นเครื่องมือสำหรับการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายและความสำเร็จ  ดังนั้นการจัดการ (Management) หรือการบริหาร (Administration) 2 คำนี้จึงเป็นคำที่คนส่วนใหญ่
คุ้นเคยและใช้กันอยู่เสมออย่างกว้างขวาง จึงมีความหมายคล้ายคลึงกันและใช้ทดแทนกันอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น
การจัดการ (Management) คือ การจัดการภารกิจภายในองค์การให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป็นไปตามนโยบาย
แผนงานที่ได้กำหนดไว้หรือการจัดการหมายถึง ภารกิจของบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือหลายคนที่เข้ามาทำหน้าที่
ประสานให้การทำงานของแต่ละบุคคลที่ต่างฝ่ายต่างทำไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ ส่วนการบริหาร (Administration) หมายถึง การบริหารที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในระดับและแผนงาน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กับ
การบริหรในภาครัฐหรือองค์การขนาดใหญ่ จากความเห็นของนักวิชาการต่อคำทั้ง 2 จะเห็นได้ว่ามีความ
แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของผู้ใช้ว่าจะมีความเหมาะสมไปในทางใด ซึ่งอาจใช้คำทั้ง 2 แทนกันได้
องค์ประกอบขององค์การ(Elements of Organization ) ที่สำคัญ 5 ประการ
1. คน  องค์การจะประกอบด้วยคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่องค์การจะมีคนเป็นจำนวนมากปฏิบัติงานร่วมกัน หรือแบ่งงานกันทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด โดยที่คนจะปฏิบัติงานร่วมกันได้จำเป็นต้องอาศัย
“ความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ ” เพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
2. เทคนิค  การบริหารองค์การต้องอาศัยเทคนิควิทยาการ หรือที่เรียกว่า เทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาหรือติดสินใจ หรืออาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันนี้องค์การไม่สามารถจะบริหารงานได้โดยอาศัยแต่เฉพาะ ประสบการณ์ ความเฉลียวฉลาดของนักบริหารเท่านั้น ในหลายกรณีผู้บริหารต้องอาศัย เทคนิคทางการบริหาร เพื่อการแก้ไขปัญหาหรือการตัดสินใจ และในขณะเดียวกันก็เป็นการลดความเสี่ยงอีกด้วย
3. ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร หรือที่เรียกว่า สารสนเทศ  ในการปฏิบัติงานและการแก้ไขปัญหา การอาศัยเทคนิคทางการบริหาร ยังไม่เพียงพอส าหรับการบริหารองค์การ นักบริหารยังต้องอาศัยความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร เพื่อความเข้าใจ เพื่อการวิเคราะห์ ตลอดจนการคาดคะเนแนวโน้มในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นเทคนิคเพื่อการบริหารจึงควบคู่ไปกับ ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. โครงสร้าง  เป็นองค์ประกอบที่สำคัญไม่น้อยขององค์การ ซึ่งนักบริหารจะต้องจัดโครงสร้างให้สอดคล้องกับงาน เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบที่เหมาะสม เพื่อให้งานขององค์การบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. เป้าหมาย หรือ วัตถุประสงค์ มนุษย์จัดตั้งองค์การขึ้นมาก็เพื่อบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่มนุษย์ต้อง ดังนั้น องค์การจึงต้องมีเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน

นายนัทธพงศ์ ลิ้มเลิศตระกูล 5510122115014 วิทยาการคอม หมู่1

ที่มา https://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=50&ved=0CGoQFjAJOCg&url=http%3A%2F%2Fpersonal.swu.ac.th%2Ffacstaffs%2Fhuan%2F%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25B6%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%25B2.doc&ei=k5HDUZKADoKTrgfosoDACw&usg=AFQjCNEf56bFHuA2S01eMjUeQPp_pO_EpQ&sig2=XcQPuBP2WtZMXmZ3EVcp-g&bvm=bv.48175248,d.bmk&cad=rja
http://www.slideshare.net/ewsarana/1-4582537
http://adisony.blogspot.com/
www.mcucr.com/home/includes/editor/assets/cassroom_cheet1.pdf‎
ขอบเขตการบริหารจัดการ
การบริหาร คือศิลปะในการทำให้สิ่งต่างๆได้รับการกระทำจนเป็นผลสำเร็จ หมายความว่าผู้บริหารไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ แต่ใช้ศิลปะทำให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานจนเป็นผลสำเร็จตรงตามจุดหมายขององค์การ หรือตรงตามจุดหมายที่ผู้บริหารตัดสินใจเลือกแล้ว
การพัฒนา
การพัฒนาหมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่มีการกระทำให้เกิดขึ้นหรือมีการวางแผนกำหนดทิศทางไว้ล่วงหน้า โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ถ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี ก็ไม่เรียกว่าการพัฒนา ขณะเดียวกัน การพัฒนามิได้หมายถึงการเพิ่มขึ้นปริมาณสินค้าหรือรายได้ของประชาชนเท่านั้น แต่หมายความรวมไปถึงการเพิ่มความพึงพอใจและเพิ่มความสุขของประชาชนด้วย
ทฤษฎี
ทฤษฎีเชิงระบบ (systems theory) (ปี 1960) เป็นวิธีการจัดการที่ผสมผสานหน้าที่ในการจัดการกิจกรรมการจัดการและการวางแผนเชิงกลยุทธ์เข้าด้วยกัน โดยพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมภายนอก ทรรศนะที่อธิบายถึงผลกระทบจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีต่อองค์การถูกเสนอโดย แดเนียล แคทซ์
แนวคิดการบริหารจัดการ

แนวคิดทางการบริหารการจัดการ
ในอดีตที่ผ่านมาระบบการจัดการของการผลิต และกิจกรรมต่าง ๆ ก็ดี ทางเศรษฐกิจ ทางการตลาด
มิได้มีความสลับซับซ้อนมากนัก และไม่ต้องอาศัยระบบของการจัดการเช่นในปัจจุบันนี้ กระทั่งเมื่อมีการปฏิวัติ
อุตสาหกรรมเกิดขึ้นในโลก (ประมาณ ปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมา) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก อันมีผลทำให้
เศรษฐกิจ สังคม การเมือง มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ตลอดจนมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่าง
รวดเร็ว และแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเริ่มเป็นที่ยอมรับและขยายตัวมากขึ้น มีการพัฒนามากขึ้นเป็นลำดับ

นางสาวณัฐธนา ดิษดี 5510122115009 สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ หมู่1

ขอบข่ายและการพัฒนาการบริหารจัดการทฤษฏีและแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
           จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรมนุษย์รวมทั้งการปฎิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษเมื่อประมาณสองร้อยปีที่ผ่านมาผลที่เกิดขึ้นตามมาคือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางแนวความคิดและแนวทางในการจัดการเป็นอย่างมากพบว่าจากอดีตที่องค์การใช้แรงงานคนเพื่อการผลิตสินค้าด้วยมือและผลิตในปริมาณน้อย มาเป็นการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาผลิตแทนจนได้ผลผลิตในปริมาณมาก นอกจากนี้ยังมีการใช้คนจำนวนที่น้อยลงแต่เพิ่มจำนวนเครื่องจักร รวมทั้งมีการ ขยายขนาดองค์การขึ้น ผลที่เกิดขึ้นจนก่อให้เกิดปัญหาตามมา คือ การบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากคนงานไม่สามารถประสานงานกันได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังพบว่าคนงานแต่ละคนจะมี ความถนัดและความชำนาญในลักษณะของงานที่แตกต่างกัน การเรียนรู้และปฏิบัติเกี่ยวกับงาน เป็นไปอย่างไม่มีระบบ ส่วนหัวหน้างานขาดความชัดเจนในด้านแผนงานรวมทั้งอำนาจหน้าที่ทำให้ การตัดสินใจเป็นไปอย่างล่าช้า และขาดประสิทธิภาพในการควบคุม
     แนวทางในการจัดการแนวทางหนึ่งที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา คือ การจัดการการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ รวมถึงความสามารถ ในการปรับตัวของธุรกิจให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ทั้งนี้เนื่องจากการแข่งขันในอนาคต สิ่งสำคัญที่จะบ่งชี้ความอยู่รอดของธุรกิจนั่นคือความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจ ใดขาดความพร้อมหรือไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจะอยู่ไม่ได้หรืออาจจะอยู่ได้แต่ไม่นาน เหตุผลสำคัญที่ จำเป็นต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงเพราะมนุษย์มีความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้น สร้างสรรค์ องค์ความรู้ได้รวดเร็วขึ้น ในขณะเดียวกันการแข่งขันในด้านต่างๆ ก็มีสูงขึ้นไปด้วย จึงทำให้ผลของ การแข่งขันกลายมาเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับองค์การอยู่ตลอดเวลา
การกำหนดขนาดของกลุ่มงานของผู้บริหารแต่ละคน อย่างเหมาะสม ดังนี้
1. ผู้บริหารจะต้องดำเนินการแบ่งงานออกเป็นงานย่อยๆ ตามลำดับความสำคัญ ซึ่งคุณลักษณะ ที่สำคัญประการหนึ่งของการแบ่งงานนั้น คือ การมุ่งเน้นด้านความชำนาญ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ของงาน ถึงแม้ว่างานจะมีลักษณะที่แตกต่างกันก็ตาม
2. ผู้บริหารจะต้องดำเนินการรวมกลุ่มงานแต่ละด้านเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม งานที่ สามารถรวมกลุ่มเข้าด้วยกันอาจจะอยู่บนรากฐานของความคล้ายคลึงกันเป็นสำคัญ
3. ผู้บริหารจะต้องดำเนินการจัดสรรอำนาจหน้าที่ระหว่างงานเพื่อให้บุคลากรสามารถทำ การตัดสินใจ    โดยไม่ต้องขออนุมัติจากผู้บริหารทุกครั้งทำให้บุคลากรมีสิทธิเพื่อการตัดสินใจ ภายใน ขอบเขตที่กำหนดไว้จนส่งผลทำให้การดำเนินงานได้อย่างราบรื่นจากการตัดสินใจที่ทันเหตุการณ์
4. ผู้บริหารจะต้องกำหนดขนาดของกลุ่มงานของผู้บริหารแต่ละคนอย่างเหมาะสม
ดังนั้นโครงสร้างองค์การย่อมจะมีความแตกต่างกันตามการตัดสินใจของผู้บริหาร จาก การใช้แนวคิดและทฤษฎีทางการจัดการ และถ้าหากพิจารณาถึงการตัดสินใจของผู้บริหารข้างต้นแล้ว จะพบว่า ในการแบ่งงานกันทำเฉพาะด้านจะขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านความเชี่ยวชาญมากหรือน้อย ในการมอบอำนาจหน้าที่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยความมากหรือน้อยของอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบ การจัด แผนกงาน จะขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานด้านความเหมือนกันหรือความแตกต่างกันของลักษณะงาน และ ขนาดในการควบคุมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยของจำนวนบุคลากร เป็นต้น
ทฤษฎีองค์การ หมายถึง กรอบที่ใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างหน้าที่ และการปฏิบัติงาน ในองค์การ ตลอดจนพฤติกรรมของกลุ่มและบุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การ
จากการที่มีผู้ให้ความหมายดังกล่าวข้างต้นผู้เขียนมีความเห็นว่า ทฤษฎีองค์การ (Organization Theory) หมายถึง กรอบแนวความคิดหรือความรู้ที่ได้จากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยมุ่งที่จะอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรกับปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นของการศึกษาในองค์การ และการกำหนดแนวทางในการจัดองค์การเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ แนวความคิดการจัดองค์การระบบราชการ
แมกซ์เวเบอร์ (Max Weber) เป็นนักสังคมวิทยา ได้เสนอลักษณะขององค์การที่เรียกว่า องค์การระบบราชการ อันเป็นองค์การในอุดมคติ เขาเชื่อว่าจะใช้องค์การระบบราชการได้อย่างมี ประสิทธิภาพที่สุดโดยเฉพาะกับองค์การที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่ มีความซับซ้อนของงานมาก และ ใช้ในการจัดการโครงสร้างองค์การและลดปัญหาของการจัดองค์การ สำหรับลักษณะขององค์การ ระบบราชการของเวเบอร์ คือ จะต้องมีการกำหนดหน้าที่แยกจากกันตามความชำนาญเฉพาะด้าน จากการกำหนดขอบเขตของงานแต่ละงานอย่างชัดเจน และกำหนดอำนาจหน้าที่เพื่อที่จะปฏิบัติงาน นั้นได้ นอกจากนี้จะต้องมีการกำหนดสายการบังคับบัญชาอย่างเป็นทางการ ในสายการบังคับบัญชาที่ กำหนดขึ้นในองค์การนี้ จะแสดงการแบ่งระบบของอำนาจหน้าที่ลดหลั่นจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่าง ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าจะรับคำสั่งจากผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า นอกจากนี้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ จะถือเป็นพนักงานคนหนึ่งเท่านั้น กล่าวคือ สิทธิในการที่จะบริหารหรือปฏิบัติหน้าที่จะถูกกำหนดให้ไว้กับตำแหน่ง ไม่ใช่กำหนดให้กับผู้ที่อยู่ใน ตำแหน่ง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่บุคคลอื่นใดแม้กระทั่งผู้ที่เป็นเจ้าของจะได้รับสิทธิที่กำหนดไว้ตาม ตำแหน่งยกเว้นแต่จะเป็นผู้ปฎิบัติหน้าที่อยู่ในตำแหน่งนั้น ส่วนในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานและ การเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นจะต้องอาศัยหลักของความสามารถ ที่วัดได้จากผลการปฏิบัติงานในตำแหน่ง หรือจากการได้รับการฝึกอบรม และการให้ออกจากงานต้องมีหลักเกณฑ์ องค์การระบบราชการ จะต้องมีการกำหนดกฎและระเบียบต่างๆ อย่างชัดเจน กฎและระเบียบนี้จะทำให้เกิดการปฏิบัติงาน ที่เป็นมาตรฐาน เกิดความเป็นธรรมและทำให้สมาชิกอยู่ในระเบียบวินัยองค์การ
                                                                                      ที่มา : http://fms.vru.ac.th/research/vorapot/A7-2.pdf

นายอโนชา นามวงศ์ สาขาวิชาเคมี ชั้นปีที่ 4 รหัสนักศึกษา 5310122108012 วิชา ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ รหัสวิชา 3561104

งานชิ้นที่ 1
เรื่อง ขอบข่ายและพัฒนาการบริหารจัดการ ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
ขอบเขต และความหมายของการบริหารการจัดการ
บริบทที่สำคัญประการหนึ่งของนักบริหาร คือ การจัดการหรือการบริหารองค์การ ให้สามารถอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง โดยรวบรวมเอากลุ่มกิจกรรมต่างๆ ขององค์การ นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อความสำเร็จในเป้าหมาย โดยคำนึงถึงความมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความประหยัด
โดยสรุปแล้ว ความหมายของการบริหาร คือ การร่วมมือกันทำงานของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์ของการทำงานร่วมกัน ในการร่วมมือทำงานนั้นจะต้องมีบุคคลที่เป็นหัวหน้าที่เราเรียกว่า ผู้บริหารและการร่วมมือกันนั้นจะจัดในรูปองค์การประเภทต่างๆ แล้วแต่วัตถุประสงค์ที่มีองค์การนั้นๆ
องค์ประกอบขององค์การ (Elements of Organization)
1. คน องค์การจะประกอบด้วยคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่องค์การจะมีคนเป็นจำนวนมากปฏิบัติงานร่วมกัน หรือแบ่งงานกันทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
2. เทคนิค การบริหารองค์การต้องอาศัยเทคนิควิทยาการ หรือที่เรียกว่า “เทคโนโลยี” เพื่อการแก้ไขปัญหาหรือติดสินใจ และในขณะเดียวกันก็เป็นการลดความเสี่ยงอีกด้วย
3. ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร หรือที่เรียกว่า “สารสนเทศ” นักบริหารต้องอาศัยความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร เพื่อความเข้าใจ เพื่อการวิเคราะห์ ตลอดจนการคาดคะเนแนวโน้มในอนาคตอีกด้วย
4. โครงสร้าง นักบริหารจะต้องจัดโครงสร้างให้สอดคล้องกับงาน เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบที่เหมาะสม เพื่อให้งานขององค์การบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. เป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ องค์การจึงต้องมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
หน้าที่ของนักบริหาร (Management Functions) มีดังนี้
1.1 การวางแผน (Planning) หมายถึง การที่ผู้บริหารจะต้องวางแผนการทำงานขององค์การล่วงหน้า
1.2 การจัดองค์การ (Organizing) หมายถึง การที่ผู้บริหารต้องจัดโครงสร้างขององค์การให้เหมาะสมกับทรัพยากรทางการบริหาร
1.3 การสั่งการ (Directing) หมายถึง การที่ผู้บริหารจะต้องมีการวินิจฉัยสั่งการที่ดี เพื่อให้การดำเนินงานขององค์การดำเนินการไปตามเป้าหมาย
1.4 การประสานงาน (Co-ordinating) หมายถึง การที่มีผู้บริหารมีหน้าที่เชื่อมโยงต่าง ๆ ขององค์การให้ดำเนินไปอย่างสอดคล้องต้องกัน
1.5 การควบคุม (Controlling) หมายถึง การที่ผู้บริหารคอยควบคุมและกำกับกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์การให้ดำเนินไปตามแผนที่วางไว้
หลักการบริหาร (Management Principle) Fayol ได้วางหลักพื้นฐานทางการบริหารไว้ 14 ประการ ดังนี้
2.1 การแบ่งงานกันทำ (Division of work)
2.2 อำนาจหน้าที่ (Authority
2.3 ความมีระเบียบวินัย (Discipline)
2.4 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)
2.5 เอกภาพในการสั่งการ (Unity of Direction)
2.6 ผลประโยชน์ขององค์กรมาก่อน (Subordinatation of individual interest to the general interest)
2.7 ผลตอบแทนที่ได้รับ (Remuneration of Personnel)
2.8 การรวมอำนาจ (Centralization)
2.9 สายการบังคับบัญชา (Scalar Chain)
2.10 ความมีระเบียบเรียบร้อย (Order)
2.11 ความเสมอภาค (Equity)
2.12 ความมั่นคงในการทำงาน (Stability of Tenture of Personnel)
2.13 ความคิดริเริ่ม (Initiative)
2.14 ความสามัคคี (Esprit de Corps)
วิวัฒนาการของทฤษฎีการบริหาร (Development of Administrative Theory)
ทฤษฎี (Throry) ทฤษฎีเป็นกลุ่มของแนวคิดที่สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกันเป็นข้อสรุปที่อธิบายถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น หรือปรากฎการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ
บทบาทของทฤษฎี (Functions of theories)
Deobold van Dalen (1963) ได้เสนอแนะบทบาทของทฤษฎี 6 ประการ ดังนี้
1. การจำแนกความสัมพันธ์ปรากฏการณ์ต่าง ๆ (Identifying Relevant Phenomena) อาศัยแนวคิดทฤษฎีในการตัดสินใจในจำนวนและชนิด ประเภทของปรากฏการณ์ที่สัมพันธ์กันของเรื่องที่สนใจศึกษา ทฤษฎีจะบอกเหตุผลทางสังคมของกิจกรรมต่างๆทางการบริหาร
2. การแยกประเภทปรากฏการณ์ต่าง ๆ (Classifying Phenomena) นักบริหารการศึกษาจะนำแนวคิดทฤษฎีเพื่อแยกประเภทปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางการบริหาร เช่น Andrew Halpin และ Don Croft ได้ศึกษาวิเคราะห์พัฒนาบรรยากาศการบริหารในองค์การได้กำหนดไว้ 6 รูปแบบ ได้แก่ แบบเปิด, แบบอิสระ, แบบควบคุม, แบบสนิทสนม, แบบรวมอำนาจ และแบบซึมเซา
3. การกำหนดโครงสร้าง (Formulating Constructs) พฤติกรรมบางอย่างไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง เช่น สติปัญญาไม่สามารถสังเกต และวัดโดยตรงได้ ทฤษฎีจะอธิบายและกำหนดโครงสร้างของความรู้ที่ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรงเหล่านั้นได้
4. การสรุปเกี่ยวกับปรากฏการณ์ (Summarizing Phenomena) ทฤษฎีจะช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นความคิดรวบยอดของระบบเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารการศึกษา
5. การทำนายปรากฏการณ์ต่าง ๆ (Predicting Phenomena) ทฤษฎีสามารถนำมาทำนายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้เช่น ทฤษฎีความต้องการของ Maslow นำมาใช้ทำนายความต้องการของคนในองค์กร
6. การแสดงความต้องการในการวิจัย (Revcealing Needed Research) ทฤษฎีจะนำมาอธิบายและทำนายปรากฏการณ์ต่าง ๆ บอกสิ่งที่จำเป็นที่เป็นพื้นฐานด้านความรู้และความจำเป็นต่อการบริหารการศึกษา

นำมาจาก
หนังสือ ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่:การบริหารองค์การ ผู้แต่ง: อรุณ รักธรรม ปีที่พิมพ์: 2525

ชื่อ น.ส. ชุติมา สรรเสริญ รหัส 5310122108013 สาขา เคมี 53 หมู่ 1

งานชิ้นที่ 1: ขอบข่ายและพัฒนาการบริหารจัดการ ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
ขอบข่ายและพัฒนาการบริหารจัดการ
การบริหาร คือ การทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การบริหารองค์การให้สามารถอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง โดยรวบรวมเอากลุ่มกิจกรรมต่างๆ ขององค์การ นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อความสำเร็จในเป้าหมาย โดยคำนึงถึงความมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความประหยัด
 องค์ประกอบขององค์การ (Elements of Organization) ที่สำคัญ 5 ประการ
1. คน องค์การจะประกอบด้วยคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่องค์การจะมีคนเป็นจำนวนมากปฏิบัติงานร่วมกัน หรือแบ่งงานกันทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด โดยที่คนจะปฏิบัติงานร่วมกันได้จำเป็นต้องอาศัย “ความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์” เพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
2. เทคนิค การบริหารองค์การต้องอาศัยเทคนิควิทยาการ หรือเรียกว่า เทคโนโลยี เพื่อการแก้ไขปัญหา หรือตัดสินใจ หรืออาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันนี้องค์การไม่สามารถจะบริหารงานได้โดยอาศัยแต่เฉพาะประสบการณ์ ความเฉลียวฉลาดของนักบริหารเท่านั้น ในหลายกรณีผู้บริหารต้องอาศัย เทคนิคทางการบริหาร เพื่อการแก้ไขปัญหา หรือการตัดสินใจ และในขณะเดียวกันก็เป็นการลดความเสี่ยงอีกด้วย
3. ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร หรือที่เรียกว่า สารสนเทศ ในการปฏิบัติงานและการแก้ไขปัญหา การอาศัยเทคนิคทางการบริหาร ยังไม่เพียงพอสำหรับการบริหารองค์การ นักบริหารยังต้องอาศัยความรู้ ข้อมูลข่าวสาร เพื่อความเข้าใจ เพื่อการวิเคราะห์ ตลอดจนการคาดคะเนแนวโน้มในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นเทคนิคเพื่อการบริหารจึงควบคู่ไปกับ ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. โครงสร้าง เป็นองค์ประกอบที่สำคัญไม่น้อยขององค์การ ซึ่งนักบริหารจะต้องจัดโครงสร้างให้สอดคล้องกับงาน เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบที่เหมาะสม เพื่อให้งานขององค์การบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. เป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ มนุษย์จัดตั้งองค์การขึ้นมาก็เพื่อบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่มนุษย์ต้อง ดังนั้นองค์การจึงต้องมีเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน

หน้าที่ของนักบริหาร (Management Functions) มีดังนี้
1. การวางแผน (Planning) หมายถึง การที่ผู้บริหารจะต้องวางแผนการทำงานขององค์การล่วงหน้า
2. การจัดองค์การ (Organizing) หมายถึง การที่ผู้บริหารต้องจัดโครงสร้างขององค์การให้เหมาะสมกับทรัพยากรทางการบริหาร
3. การสั่งการ (Directing) หมายถึง การที่ผู้บริหารจะต้องมีการวินิจฉัยสั่งการที่ดี เพื่อให้การดำเนินงานขององค์การดำเนินการไปตามเป้าหมาย
4. การประสานงาน (Co-ordinating) หมายถึง การที่มีผู้บริหารมีหน้าที่เชื่อมโยงต่าง ๆ ขององค์การให้ดำเนินไปอย่างสอดคล้องต้องกัน
5 การควบคุม (Controlling) หมายถึง การที่ผู้บริหารคอยควบคุมและกำกับกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์การให้ดำเนินไปตามแผนที่วางไว้

วิวัฒนาการของทฤษฎีการบริหาร (Development of Administrative Theory)
ทฤษฎี (Throry) ทฤษฎีเป็นกลุ่มของแนวคิดที่สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกันเป็นข้อสรุปที่อธิบายถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น หรือปรากฎการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ

บทบาทของทฤษฎี (Functions of theories)
Deobold van Dalen (1963) ได้เสนอแนะบทบาทของทฤษฎี 6 ประการ ดังนี้
1. การจำแนกความสัมพันธ์ปรากฏการณ์ต่าง ๆ (Identifying Relevant Phenomena) อาศัยแนวคิดทฤษฎีในการตัดสินใจในจำนวนและชนิด ประเภทของปรากฏการณ์ที่สัมพันธ์กันของเรื่องที่สนใจศึกษา ทฤษฎีจะบอกเหตุผลทางสังคมของกิจกรรมต่างๆทางการบริหาร เช่น การศึกษาเรื่องการบริหารโรงเรียน จะมีปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องและมีความสำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และทรัพยากรการบริหาร
2. การแยกประเภทปรากฏการณ์ต่าง ๆ (Classifying Phenomena) นักบริหารการศึกษาจะนำแนวคิดทฤษฎีเพื่อแยกประเภทปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางการบริหาร เช่น Andrew Halpin และ Don Croft ได้ศึกษาวิเคราะห์พัฒนาบรรยากาศการบริหารในองค์การได้กำหนดไว้ 6 รูปแบบ ได้แก่ แบบเปิด, แบบอิสระ, แบบควบคุม, แบบสนิทสนม, แบบรวมอำนาจ และแบบซึมเซา
3. การกำหนดโครงสร้าง (Formulating Constructs) พฤติกรรมบางอย่างไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง เช่น สติปัญญาไม่สามารถสังเกต และวัดโดยตรงได้ ทฤษฎีจะอธิบายและกำหนดโครงสร้างของความรู้ที่ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรงเหล่านั้นได้
4. การสรุปเกี่ยวกับปรากฏการณ์ (Summarizing Phenomena) ทฤษฎีจะช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นความคิดรวบยอดของระบบเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการบริหารการศึกษา
5. การทำนายปรากฏการณ์ต่าง ๆ (Predicting Phenomena) ทฤษฎีสามารถนำมาทำนายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้เช่น ทฤษฎีความต้องการของ Maslow นำมาใช้ทำนายความต้องการของคนในองค์กร
6. การแสดงความต้องการในการวิจัย (Revcealing Needed Research) ทฤษฎีจะนำมาอธิบายและทำนายปรากฏการณ์ต่าง ๆ บอกสิ่งที่จำเป็นที่เป็นพื้นฐานด้านความรู้และความจำเป็นต่อการบริหารการศึกษา                                                                                                                                                        

อ้างอิง                                                                                                                      
หนังสือ “องค์การและการจัดการ”ทันสมัยยุคโลกาภิวัตน์ ผู้แต่ง:รองศาสตราจารย์ ธงชัย สันติวงษ์                      หนังสือ ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่:การบริหารองค์การ ผู้แต่ง: อรุณ รักธรรม ปีที่พิมพ์: 2525  http://www.mcucr.com/home/includes/editor/assets/cassroom_cheet1.pdf
http://www.somded.net/files/doc_1295698464.pdf


นาย สันติ เดชดี รหัส 5510122115019 วิทยาการคอมพิวเตอร์ หมู่ 1

ความหมายของแนวความคิดและทฤษฎีทางการจัดการ
สำหรับความหมายของ แนวความคิดและทฤษฎีทางการจัดการ มีดังนี้
สโตนเนอร์ (Stoner, 1978, p.32) กล่าวว่า วิวัฒนาการตามแนวคิดหลักหรือแนวคิดที่ สำคัญๆ ทางการจัดการที่เกิดขึ้นและผ่านมา 3 ยุค ได้แก่ ยุคแนวความคิดทางการจัดการสมัยดั้งเดิม ยุคแนวความคิดทางการจัดการแนวพฤติกรรมศาสตร์ และยุคแนวความคิดทางการจัดการเชิง ปริมาณ วิวัฒนาการของแนวคิดทางการจัดการที่สำคัญจะนำเสนอถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน ช่วงเวลาต่างๆ และแนวความคิดทางการจัดการซึ่งถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคนั้นๆ และผลกระทบ ซึ่งมีผลต่อการออกแบบโครงสร้างขององค์การอันเป็นผลทำให้เกิดเป็นสภาวการณ์ ขององค์การที่มีส่วนในการกำหนดพฤติกรรมมนุษย์ขึ้นตามมา
กริฟฟิน (Griffin, 1999, p.36) กล่าวว่า ทฤษฎีการจัดการ หมายถึง กรอบแนวความคิด ความรู้และการกำหนดแนวทางในการจัดองค์การรวมทั้งเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
ติน ปรัชญพฤทธิ์ กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของทฤษฎีองค์การ คือ การมุ่งที่จะ พรรณนา อธิบาย และพยากรณ์ความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์หรือพฤติกรรม โดยชี้ให้เห็นถึง ส่วนประกอบหรือตัวแปรของการศึกษาในองค์การนั้นๆ
ทฤษฎีทางการบริหารนั้นมาจากทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Theory) ดังนั้นจึงอาจ กล่าวได้ว่าแนวคิดทางการบริหารหรือการจัดการนั้น มาจากทฤษฎีเกิดขึ้นจากการพัฒนาโดยวิธีการ ทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง ซึ่งคำว่าทฤษฎี หมายถึง กลุ่มความคิดหรือแนวคิดที่อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทฤษฎีองค์การเป็นแนวคิดหรือกรอบของการศึกษาขององค์การ ว่าในการพัฒนาให้องค์การ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่พึงประสงค์นั้นมีปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องหลายปัจจัย ได้แก่ โครงสร้างองค์การ ภาวะความเป็นผู้นำ ขวัญของพนักงาน การสื่อสาร การควบคุม การประเมินผลงาน การตัดสินใจ พฤติกรรมกลุ่ม การวัดผลงาน การจูงใจ สถานภาพและบทบาท อำนาจ วัฒนธรรม บรรยากาศขององค์การ เป็นต้น
แนวคิดและทฤษฎีทางการจัดการ
ในการจัดแบ่งกลุ่มแนวคิดและทฤษฎีทางการจัดการจากอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายแนวความคิดและทฤษฎีดังนี้
1. แนวความคิดทางการจัดการในสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิก (Classical Perspective)
สำหรับแนวความคิดทางการจัดการในยุคของทฤษฎีสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิกสามารถแยกได้เป็น3   -แนวความคิดหลัก ดังนี้
1.1 แนวความคิดทางการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
1.1.1 ผลงานของเฟรดเดอริด วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor’s)
1.1.2 ผลงานของแฟรงค์ บังเกอร์ กิลเบรธ และลิลเลี่ยน มอลเลอร์ กิลเบรธ
(Frank, B. Gilbreth & Lillian, E.M. Gilbreth)
1.2 แนวความคิดการจัดองค์การระบบราชการ (Bureaucratic Organization)
1.2.1 ผลงานของแมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber)
1.3 แนวความคิดทางการจัดการเชิงกระบวนการ (Process Management)
1.3.1 ผลงานของเฮนรี่ ฟาโยล์ (Henri Fayol)
1.3.2 ผลงานของกูลิค ลูเธอร์และเออร์วิค (Gulick, Luther., & Lyndall F. Urwick)
1.3.3 ผลงานของเจมส์ ดี. มูนี่ และอัลเลน ซี. เรลลี่ (James D. Mooney., & Alan C. Rieley)
2. แนวความคิดทางการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Management Perspective)
สำหรับแนวความคิดทางการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์นี้ สามารถแยกแนวความคิด ได้เป็น 3 แนวความคิดหลัก ดังนี้
2.1 แนวความคิดทางการจัดการเชิงมนุษยสัมพันธ์
2.1.1ผลงานของเอลตัน เมโย (Elton Mayo)
2.2 แนวความคิดทางการจัดการเชิงสังคมศาสตร์
2.2.1 ผลงานของแมรี่ ปาร์คเกอร์ ฟอลเล็ต (Mary P. Follett)
2.3 แนวความคิดทางการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
2.3.1ผลงานของอับราฮาม เอช มาสโลว์ (Abraham H. Maslow)
2.3.2 ผลงานของดรักกลาส แมกเกรเกอร์ (Douglas McGregor)
2.3.3 ผลงานของคริส อาร์กีริส (Chris Argyris) วิชาองค์การและการจัดการ ผศ.ดร.วรพจน์ บุ ษราคัมวดี 30
3. แนวความคิดทางการจัดการสมัยใหม่ (Contemporary management perspective)
สำหรับแนวความคิดทางการจัดการสมัยใหม่สามารถแยกได้เป็น 3 แนวความคิด ดังนี้
3.1 แนวความคิดทางการจัดการเชิงปริมาณ (Quantitative management perspective)
3.2 แนวความคิดเชิงระบบ (System perspective)
3.3 แนวความคิดเชิงสถานการณ์ (Contingency perspective)
3.3.1 ผลงานของโจแอน วูดวาร์ด (Joan Woodward)
3.3.1 ผลงานของลอร์เร็นซ์และลอร์ช (Lawrence, P.R., & Lorsch, J.W.)
4. แนวความคิดทางการจัดการยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization Management)
สำหรับแนวความคิดทางการจัดการยุคโลกาภิวัตน์ คือ การควบคุมคุณภาพ


เอกสารอ้างอิง
http://fms.vru.ac.th/research/vorapot/A7-2.pdf